เมื่อ IBM ได้ทำการเปิดตัว IBM PC ( XT ) ตัวแรก ซึ่งใช้ CPU 8088 เป็น CPU ขนาด 8 Bit ดังนั้น เครื่อง Computer เครื่องนี้ จึงมีเส้น ทางข้อมูลเพียง 8 เส้นทาง ( 8 data line ) และ เส้นทางที่อยู่ 20 เส้นทาง ( 20 address line ) เพื่อใช้ในการอ้างตำแหน่งของ หน่วยความจำ Card ที่นำมาต่อกับ PC Bus นั้น จะเป็น Card แบบ 62 pin ซึ่ง 8 pin ใช้สำหรับส่งข้อมูล อีก 20 pin ไว้สำหรับอ้างตำแหน่งของหน่วยความ จำซึ่ง CPU 8088 นั้น สามารถอ้างอิงหน่วยความจำได้เพียง 1 Megabyte ซึ่งในแต่ละ pin นั้น สามารถส่งข้อมูลได้เพียง 2 ค่า คือ 0 กับ 1 ( หรือ Low กับ High ) ดังนั้น เมื่อใช้ 20 pin ก็จะอ้างอิงตำแหน่งได้ที่ 2 คูณกัน 20 ครั้ง ( หรือ 2 ยกกำลัง 20 ) ซึ่งก็จะได้เท่ากับ 1 Meg. พอดี ส่วน pin ที่เหลือ ก็ใช้เป็นตัวกำหนดการอ่านค่า ว่าอ่านจากตำแหน่งของหน่วยความจำ หรือ ตำแหน่งของ Input/Output หรือ บาง pin ก็ใช้สำหรับจ่ายไฟ +5, -5, +12 และ สาย Ground ( สายดิน ) เพื่อจ่ายไฟให้กับ Card ที่ต่อพ่วงบน Slot ของ PC Bus นั่นเอง และ ยังมี pin บางตัวที่ทำหน้าที่เป็นตัว reset หรือ เป็นตัว refresh หรือแม้กระทั่ง clock หรือ สัญญาณนาฬิกาของระบบนั่นเอง ระบบ Bus แบบ PC Bus นี้ มีความกว้างของ Bus เป็น 4.77 MHz และ สามารถส่งถ่ายข้อมูลด้วยความเร็วสูงสุดที่ 2.38 MB ต่อ วินาที
?
ในยุคของ PC AT
หรือ ตั้งแต่ CPU รุ่น 80286 เป็นต้นมา
ได้มีการเปลี่ยนแปลงขนาดของ
เส้นทางข้อมูลจาก 8 Bit ไปเป็น 16 Bit
ทำให้ IBM ต้องมาทำการออกแบบระบบ Bus
ใหม่
เพื่อให้สามารถส่งผ่านข้อมูลทีละ
16 Bit ได้ แน่นอนว่า
การออกแบบใหม่นั้น
ก็ต้องทำให้เกิดความเข้ากัน
ได้ย้อนหลังด้วย ( Compatble ) กล่าวคือ
ต้องสามารถใช้งานกับ PC Bus ได้ด้วย
เพราะ ถ้าหากไม่เช่นนั้นแล้ว
ก็คงจะขายออกยาก ลองคิดดูว่า
ถ้าหากออก PC AT ที่ใช้
ระบบบัสใหม่ทั้งหมด และ
ไม่เข้ากันกับ PC XT
ที่ออกมาก่อนหน้านั้นได้
เครื่อง PC AT นั้นๆ
อนาคตการตลาดก็คงรุ่งได้ยากแต่ปัญหานี้
IBM แก้ไขได้ดีทีเดียว นั่นก็คือ
ได้ทำ Slot มาต่อเพิ่มจาก PC Bus เดิม อีก
36 Pin โดยที่เพิ่มเส้นทางข้อมูลอีก 8
Pin รวมแล้วก็จะเป็น 16 Pin
สำหรับส่งข้อมูลได้ทีละ 16 Bit พอดี
และ เพิ่ม 4 Pin สำหรับทำหน้าที่อ้าง
ตำแหน่ง จากหน่วยความจำ
ซึ่งก็จะรวมเป็น 24 Pin และ
จะอ้างได้มากถึง 16 Meg. ( 2 ยกกำลัง 24 )
ซึ่ง ก็เป็นขนาดของหน่วยความจำ
สูงสุดที่ CPU 80286 นั้น
สามารถจะอ้างได้
แต่อย่างไรก็ตาม การอ้าง
ตำแหน่งของ I/O Port นั้น
ก็ยังคงถูกจำกัดไว้ที่ 1,024 อยู่ดี
เนื่องจาก
ปัญหาด้านความเข้ากันได้ กับ PC Bus
นอกจากนี้ Pin ที่เพิ่มเข้ามา
ยังช่วยเพิ่มการอ้างตำแหน่ง DMA
และ ค่าของ IRQ เพิ่มอีกด้วย Slot
แบบใหม่นี้ เรียกว่าเป็น Slot แบบ 16-Bit
ซึ่งต่อมาก็เรียกกันว่าเป็น AT Bus
แต่เราจะรู้จักกันในนามของ ISA Bus
มากกว่า โดยคำว่า ISA
มาจากคำเต็มว่า Industry Standard Architecture เราสามารถนำ Card แบบ 8 Bit
มาเสียบลงบนช่อง 16 Bit ได้ เพราะ ใช้
สถาปัตยกรรม พื้นฐานเหมือนๆกัน
จะต่างกันก็ตรงส่วนที่เพิ่มมา
สำหรับ 16 Bit เท่านั้น ซึ่งจะใช้ (
ในกรณีที่ใช้ Card 16 Bit ) หรือ ไม่ใช้ (
ในกรณีใช้ Card 8 Bit ) ก็ได้ ระบบ Bus แบบ ISA
Bus นี้ มีความกว้างของ Bus เป็น 8 MHz และ
สามารถส่งถ่ายข้อมูลด้วยความเร็วสูงสุดที่
8 MB ต่อ วินาที ในปี
1985 ทาง Compaq ซึ่งไม่ยอมน้อยหน้า IBM
ได้ประกาศเปิดตัว Computer ของตน
ในรุ่น 286/12 โดย 12
นั้นหมายถึงความเร็ว คือ 12 MHz ซึ่ง
ในขณะนั้น IBM มีแค่ 286
ที่ทำงานด้วยความเร็ว 8 MHz
ในขณะนั้น ความเร็ว จาก 8 MHz ไป 12 MHzนับว่าสูงมากๆเลย
เพราะเพิ่มขึ้นมาอีก
ครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว (
ถ้าเทียบกับสมัยนี้
ก็เหมือนๆกับ จาก Pentium II 300 ไปเป็น Pentium
II 450 นั่นหละครับ ) ซึ่งแน่นอน Bus
ของระบบ ก็ต้องทำงานที่ 12 MHz
ตามไปด้วย แล้วปัญหาก็เกิดขึ้น
ISA Bus นั้น
เราทราบแล้วว่ามันทำงานที่ 8 MHz
ถ้านำมันมาใช้งานที่ 12 MHz
ก็ต้องมีปัญหาแน่ๆ และ นี่หล่ะ
เป็นปัญหาสำคัญ เพราะหากว่า CPU
ทำงานได้เร็วจริง
แต่ไม่สามารถใช้ Card
ต่อพ่วงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับมันได้เลย
ปัญหาที่ทาง Compaq จะต้องแก้ให้ได้
และ ก็แก้ได้ดีทีเดียว นั่นก็คือ
ในระบบบัส
มันทำงานด้วยความเร็วเดียวกับ CPU
ไม่ได้ ก็แยกการใช้นาฬิกา
ของระบบบัส ออกจาก CPU ไปเลย โดยที่
CPU และ อุปกรณ์อื่นๆ บน Mainboard
จะทำงานที่ความเร็ว 12 MHz แต่ ที่ตัว
Bus เอง จะทำงานคงที่ ที่ 8 MHz
เพราะใช้สัญญาณนาฬิกา แยกจากกัน
ซึ่งวิธีการนี้ ก็เป็นทางแก้
ซึ่งก็ยังใช้กันอยู่จวบจนปัจจุบันนี้ในสมัยนั้น
หน่วยความจำหลัก หรือ RAM จะอยู่บน
Expansion Card ที่ต่ออยู่กับ ISA Bus ด้วย
เพราะฉะนั้น มันก็เลย
ทำงานด้วยความเร็วเพียง 8 MHz
เท่านั้น และ ต่อๆ มา ยิ่งมี CPU ขนาด
16 MHz หรือ 25 MHz ในยุคของ 386 ด้วยแล้ว RAM
ก็จะทำงานด้วยความเร็วเพียงแค่ 8
MHz เท่านั้น ทาง Compaq
ก็เลยต้องแก้ไขอีกครั้ง
ซึ่งในต้นปี 1987 ทาง Compaq ก็ได้
วางตลาด Compaq Deskpro 386 ที่ความเร็ว 16 MHz
โดยคราวนี้ก็แยกสัญญาณ
นาฬิกาของ RAM ออกไปด้วยซะเลย
ซึ่งก็เป็นต้นแบบสำคัญที่ใช้กันต่อมาในปัจจุบันนี้
โดยให้ ISA Bus ทำงาน
ที่ความเร็วค่าหนึ่ง RAM
อีกค่าหนึ่ง และ CPU อีกค่าหนึ่ง
?
ทั้ง IBM และ Compaq นั้น เป็นคู่แข่งทางการค้ากัน ดังนั้น เรื่องที่จะให้ Compaq อยู่เหนือตนเอง สำหรับ IBM นั้น เป็นไปไม่ได้ ทาง IBM จึงได้ออกมาตรฐานระบบบัส ของตนใหม่ เรียกว่า Micro Channel Architecture หรือ MCA เมื่อระบบบัส ได้มีการแข่งขันกันขึ้น แน่นอน ระบบที่ถูกนำมาใช้เป็นตัวเปรียบเทียบ คือ ISA ซึ่ง ก็มีการจับตามองว่า ทาง IBM นั้น จะหาทางแก้ไขจุดอ่อนของ ISA Bus ของตนอย่างไร แต่ วิศวกรของทาง IBM นั้น มองในมุมที่แตกต่างจากคนอื่นๆเมื่อ Intel ได้เปิดตัว CPU ของตน รุ่น 80386 ซึ่งเป็น CPU ขนาด 32 Bit สามารถอ้างตำแหน่งหน่วยความจำได้มากถึง 4 Gigabyte โดยมีความเร็วเริ่มต้นที่ 16 MHz ซึ่ง ISA Bus ดูจะไม่เหมาะแล้ว กับ CPU ระดับนี้ บรรดาผู้ใช้ PC ต่างก็มองกันว่า ทางออกที่ดี คือควรจะมีระบบบัสใหม่ที่สามารถรองรับในจุดนี้ได้แต่อย่างที่บอกไปแล้วนั้นว่า วิศวกรของทาง IBM มองในจุดที่แตกต่างจากคนอื่นๆ ทั่วไป เพราะ แต่เดิมนั้น IBM จับตลาด Mainframe มาก่อน และ แน่นอนวิศวกร ของทาง IBM ก็จะชินและ ถนัดกับ Mainframe มากกว่า ทำให้วิศวกรเหล่านั้นมองว่า PC ก็ควรจะทำงาน แบบ หลายๆ task พร้อมๆ กันได้ ( Multiple task ) ประกอบกับ IBM ต้องการที่จะให้ภาพพจน์ Mainframe ของตน ดูมีประสิทธิภาพสูงกว่า PC จึงไม่ค่อยได้เพิ่มหรือเปลี่ยน แปลงขีดความสามารถให้กับระบบบัสใหม่ของตน ให้เด่นกว่าเดิมมากนัก
EISA Bus
จากที่ได้กล่าวมาแล้ว ถึงจุดจบอันไม่น่าบังควรของ IBM ที่ทำการจดลิขสิทธิ์ และ เรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์ จากรายได้ทั้งหมด 5 % ( จากรายได้ทั้งหมด ไม่ใช่จากกำไรทั้งหมด ) แถมยังไม่ให้ความช่วยเหลือในด้านข้อมูลของระบบนี้อีก ทำให้มันถูกกองไว้กับ IBM ไม่แพร่หลายทั่วไปอย่าง ISAทางCompaq ซึ่งเป็นคู่แข่งทางการค้าของ IBM คงไม่ไปก้มหัวให้กับ IBM เพื่อขอใช้ MCA เป็นแน่แท้ ทาง Compaq จึงได้รวมทุนวิจัยระบบบัสใหม่ ร่วมกับอีก 8 บริษัท ในปี 1988 ซึ่งเรียกกันว่าเป็น "Gang of Nine" แต่พวกเขากลับเรียกตัวเองว่า "WATCHZONE" เพราะ ประกอบไปด้วยบริษัท Wyse, AST Research, Tandy, Compaq, Hewlett-Packard, Zenith Data Systems, Olivetti, NEC และ Epson และได้พัฒนา Extended Industry Standard Architecture หรือ EISA ขึ้นมาได้สำเร็จ EISA นั้น ใช้พื้นฐาน หลักมาจาก ISA แต่ได้เพิ่มขีดความสามารถบางอย่างขึ้น ซึ่งบางอย่างก็พัฒนามาจาก MCA ด้วย ซ้ำยังเข้ากันได้กับ ระบบ ISA รุ่นเก่าด้วย และ เสียค่าลิขสิทธิ์น้อยกว่าที่จะต้องจ่ายให้กับ IBM อีกด้วย
เมื่อคราวที่ Compaq ได้เปิดตัว Deskpro 386 นั้น ที่เคยกล่าวไปแล้วว่า ได้แยกสัญญาณนาฬิกาของหน่วยความจำหลัก , Bus และ CPU ออกจากกัน ซึ่ง Compaq ก็ได้ เปิดตัว ระบบ Bus ใหม่ของตนไปด้วย เพราะ หน่วยความจำหลักของเครื่องนี้ จะอยู่บน Slot ขนาด 32 Bit ซึ่งออกแบบมาเฉพาะของ Compaq เท่านั้น ซึ่ง ก็เป็นจุดเริ่มต้น ให้ผู้ผลิตแต่ละบริษัท เริ่มที่จะหันไปออกแบบและผลิตระบบบัสที่เป็น มาตรฐานของตนเองขึ้นมา แน่นอน Intel ก็เป็นหนึ่งในนั้น ระบบบัสเหล่านี้ แต่เดิมเรียกว่า เป็น Private Bus เพราะใช้เป็นการ ส่วนตัวเฉพาะบริษัทเท่านั้น แต่ต่อมาก็เรียกว่าเป็น Local Bus หรือ Bus เฉพาะที่ เพราะใช้ สัญญาณนาฬิกาเดียวกับ CPU โดยไม่ต้องพึ่ง วงจรสัญญาณนาฬิกาพิเศษแยกออกจาก CPU เลยข้อดีของมันก็คือ ทำให้สามารถใช้สัญญาณนาฬิกาเดียวกันกับ CPU ในขณะนั้นได้ ซึ่งก็มักจะนำมาใช้กับ หน่วยความจำหลัก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ โดยรวมของระบบ แต่ก็มี Card แสดงผลอีกชนิดหนึ่ง ที่ต้องการความ ไวสูง เช่น Display Card ซึ่ง หากมีการเข้าถึงและส่งถ่ายข้อมูลระหว่าง CPU กับ Display Card ได้เร็วแล้ว ก็จะช่วยลด ปัญหาเรื่อง Refresh Rate ต่ำ เพราะ CPU จะต้องทำการประมวลผลและนำมาแสดงผลบนจอภาพ ยิ่งหากว่ามีการใช้ mode resolution ของ จอภาพสูงๆ และ เป็น mode graphics ด้วยแล้ว CPU ก็ยิ่งต้องการการส่งถ่ายข้อมูลให้เร็วขึ้น เพื่อภาพที่ได้จะได้ไม่กระตุกและไม่กระพริบ ( Refresh Rate ต่ำ เป็นเหตุให้จอกระพริบ )เนื่องจากระบบ Local Bus นั้น จะช่วยในการส่งผ่าน และ เข้าถึงข้อมูลได้เร็ว จึงได้มีบริษัทหัวใส นำเอาระบบ Local Bus มาใช้กับ Display Card ด้วย โดยบริษัทแรก ที่นำมาใช้และเปิดตัวอย่างเป็นทางการ คือ NEC ซึ่งใช้กับ NEC Powermate ( ในปี 1991 ) และ ต่อๆมา ผู้ผลิตรายอื่นๆ ก็ได้พยายามเลียนแบบ แต่ก็ได้ออกแบบระบบ Local Bus ของตน ซึ่ง Card ของแต่ละบริษัท ก็นำไปใช้ กับ บริษัทอื่นไม่ได้ ทำให้มีการกำหนดมาตรฐานระบบ Bus นี้ขึ้นมา โดยกลุ่มนั้นชื่อ Video Electronic Standards Association หรือ VESA และ ได้เรียก มาตรฐานนั้นว่าเป็น VESA Local Bus หรือ สั้นๆว่า VL Bus ในปี 1992ระบบ VL Bus นั้น สามารถใช้สัญญาณนาฬิกา ได้สูงถึง 50 MHz ทั้งยังสนับสนุนเส้นทางข้อมูลทั้ง 32 Bit และ 64 Bit รวมถึงอ้างตำแหน่งหน่วยความจำ ได้สูงถึง 4 Gigabyte อีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม VL Bus ก็ไม่เชิงว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่ดีนัก เพราะไม่มีเอกลักษณ์ หรือ คุณสมบัติพิเศษนอกเหนือไปจาก ISA มากนัก เพราะมันเหมือนๆ กับ การเพิ่มขีดความสามารถให้กับ ISA มากกว่าที่จะเป็นพัฒนาความสามารถให้กับ ISA เนื่องจากมันก็ยังคงให้ CPU เป็นตัวควบคุมการทำงาน ใช้ Bus Mastering ไม่ได้ และ ยังไม่สามารถปรับแต่งค่าต่างๆ ผ่านทาง Software ได้ จากจุดอ่อนตรงจุดนี้ ทำให้ทาง Intel ได้พัฒนาระบบ Local Bus ของตนขึ้นมานั่นเอง
?
ระบบ PCI หรือ Peripheral
Component Interconnect ก็เป็น Local Bus อีกแบบหนึ่ง
ที่พัฒนาขึ้นโดย Intel
ในเดือนกรกฎาคม ปี 1992
โดยที่แยกการควบคุมของระบบบัส
กับ CPU ออกจากกัน
และส่งข้อมูลผ่านกันทางวงจรเชื่อม
( Bridge Circuit ) ซึ่ง จะมี Chipset
ที่คอยควบคุมการทำงานของระบบบัสต่างหาก
โดยที่ Chipset
ที่ควบคุมนี้จะเป็นลักษณะ Processor
Independent คือ ไม่ขึ้นกับตัว Processor ( หรือ CPU
)แรกเริ่มที่เปิดตัวนั้น PCI
จะเป็นระบบบัสแบบ 32 Bit
ที่ทำงานด้วยความเร็ว 33 MHz
ซึ่งสามารถให้อัตราเร็ว
ในการส่งผ่านข้อมูลถึง 133 M/s ต่อมา
เมื่อ Intel เปิดตัว CPU ใน Generation ที่ 5
ของตน Intel Pentium ซึ่งเป็น CPU ขนาด 64 Bit ทาง
Intel ก็ได้ทำการกำหนดมาตรฐาน ของ PCI
เสียใหม่ เป็น PCI 2.0 ในเดือนพฤษภาคม
ปี 1993 ซึ่ง PCI 2.0
นี้ก็จะมีความกว้างของ
เส้นทางข้อมูลถึง 64 Bit
ซึ่งหากใช้งานกับ Card 64 Bit แล้ว
ก็จะสามารถให้อัตราเร็ว
ในการส่งผ่านที่สูงสุดถึง 266 M/sจุดเด่นของ
PCI ที่เห็นได้ชัด
นอกเหนือไปจากข้างต้น
ก็ยังมีเรื่องของ Bus Mastering ซึ่ง PCI
นั้น ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกับ
EISA และ MCA แล้ว Chipset
ที่ใช้เป็นตัวควบคุมการทำงาน
ก็ยังสนับสนุนระบบ ISA และ EISA
อีกด้วย ซึ่งก็สามารถทำให้ผลิต
Mainboard ที่มีทั้ง Slot ISA , EISA และ PCI
รวมกันได้ นอกจากนั้น
ยังสนับสนุนระบบ Plug-and-Play อีกด้วย (
เป็นมาตรฐานที่พัฒนาในปี 1992
ที่กำหนดให้ Card แบบ Plug-and-Play นี้
จะไม่มี Dipswitch หรือ Jumper เลย ทุกอย่าง
ทั้ง IRQ, DMA หรือ Port
จะถูกกำหนดไว้แล้ว
แต่เราก็สามารถเลือก หรือ
เปลี่ยนแปลงได้จาก Software )
ในกลางปี 1996
เมื่อ Intel ได้ทำการเปิดตัว Intel Pentium II
ซึ่งพร้อมกันนั้นก็ได้ทำการเปิดตัวสถาปัตยกรรมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ
ของหน่วยแสดงผลด้วย นั่นก็คือ
Accelerated Graphics Port หรือ AGP
ซึ่งก็ได้เปิดตัว Chipset
ที่สนับสนุนการทำงานนี้ด้วย คือ
440LX ( ซึ่งแน่นอน Chipset
ที่ออกมาหลังจากนี้
ก็จะสนับสนุนการทำงานของ AGP ด้วย
)AGP นั้น จะมีการเชื่อมต่อกับ Chipset
ของระบบแบบ Point-to-Point ซึ่ง
จะช่วยให้การส่งผ่านข้อมูลระหว่าง
Card AGP กับ Chipset ของระบบได้เร็วขึ้น
และยังมีเส้นทางเฉพาะ
สำหรับติดต่อ
กับหน่วยความจำหลักของระบบ
เพื่อใช้ทำการ Render ภาพ แบบ 3D
ได้อย่างรวดเร็วอีกด้วยจากเดิม
Card แสดงผล แบบ PCI นั้นจะมี
ปัญหาเรื่องของหน่วยความจำบน Card
เพราะเมื่อต้องการใช้งานด้านการ
Render ภาพ 3 มิติ ที่มีขนาดใหญ่มากๆ
ก็จำเป็นต้องมีการใช้
หน่วยความจำบน Card นั้นมากๆ
เพื่อรองรับขนาดของพื้นผิว ( Texture )
ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของงาน
Render แน่นอน เมื่อหน่วย ความจำมากๆ
ราคาก็ยิ่งแพง ดังนั้น ทาง Intel
จึงได้ทำการคิดค้นสถาปัตยกรรมใหม่เพื่องานด้าน
Graphics นี้ โดยเฉพาะ AGP จึงได้ถือ
กำเนิดขึ้นมา
AGP นั้นจะมี mode ในการ Render อยู่ 2 แบบ
คือ Local Texturing และ AGP Texturing โดยที่ Local Texturing
นั้น จะทำการ copy หน่วยความจำ
ของระบบไปเก็บไว้ที่เฟรมบัฟเฟอร์ของ
Card ( หน่วยความจำบนตัว Card )จากนั้นจึงทำการประมวลผล
โดยดึงข้อมูลจากเฟรมบัฟเฟอร์บน
Card นั้นอีกที ซึ่งวิธีการนี้
ก็เป็นวิธีการที่ใช้บนระบบ PCI
ด้วย
วิธีนี้จะพึ่งขนาดของหน่วยความจำบน
Card มาก AGP Texturing นั้น เป็นเทคนิคใหม่
ที่ช่วยลดปริมาณ ของหน่วยความจำ
หรือ เฟรมบัฟเฟอร์บน Display Card
ลงได้มาก
เพราะสามารถทำการใช้งาน
หน่วยความจำของระบบให้เป็นเฟรมบัฟเฟอร์ได้เลย
โดยไม่ต้องดึงข้อมูลมาพักไว้ที่เฟรมบัฟเฟอร์ของ
Card ก่อนโดยปกติแล้ว AGP
จะทำงานที่ความเร็ว 66 MHz
ซึ่งแม้ว่าระบบจะใช้ FSB เป็น 100 MHz
แต่มันก็จะยังคงทำงานที่ 66 MHz (
ซึ่งตรงจุดนี้ Mainboard บางรุ่น
บางยี่ห้อ
สามารถปรับแต่งค่านี้ได้ แต่
ทั้งนี้ และ ทั้งนั้น
ก็ควรคำนึงถึงขีดจำกัดของ Card และ
อุปกรณ์อื่นๆ ด้วย ) ซึ่ง ใน mode
ปกติของมัน
ก็จะมีความสามารถแทบจะเหมือน
กับ PCI แบบ 66 MHz เลย
โดยจะมีอัตราการส่งข้อมูลที่สูงถึง
266 M/s และ นอกจากนี้
ยังสามารถทำงานได้ทั้งขอบขาขึ้น
และขอบขาลงของ 66 Mhz
จึงเท่ากับว่ามันทำงานที่ 133 MHz
ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตราการ
ส่งถ่ายข้อมูลขึ้นได้สูงถึง 532 M/s (
แน่นอนว่าทั้ง Card ที่ใช้ และ Chipset
ที่ใช้
ต้องสนับสนุนการทำงานแบบนี้ด้วย
) ซึ่งเรียก mode นี้ ว่า mode 2X และ mode
ปกติว่าเป็น mode 1X
สำหรับความเร็วในการส่งถ่ายข้อมูลนั้น
ก็ขึ้นกับชนิดของหน่วยความจำหลักด้วย
ถ้าหน่วยความ
จำหลักเป็นชนิดที่เร็ว
ก็จะยิ่งช่วยเพิ่มอัตราเร็วในการส่งถ่ายมากขึ้น
ดังนี้EDO DRAM หรือ SDRAM PC 66 ได้ 528 M/s,SDRAM PC100 ได้ 800 M/s,DRDRAM ได้ 1.4 G/sอีกสาเหตุหนึ่งที่ระบบบัสแบบ
AGP ทำได้ดีกว่า PCI ก็เพราะ เป็น Slot
แบบ เอกเทศ ไม่ต้องไปใช้ Bandwidth
ร่วมกับใคร ( เพราะเครื่องๆ
หนึ่งมี Display Card เพียง
ตัวเดียวก็เพียงพอแล้ว ดังนั้น
จึงใน Mainboard จึงมี Slot AGP เพียง Slot เดียว )
home cpu mainboard ram keyboard bus modem scanner